วันเสาร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

Antoine de Saint-Exupéry

Antoine de Saint-Exupéry
Antoine de Saint-Exupéry Author profile
born :June 29, 1900 in Lyon, France
diedJuly:31, 1944
gender: male
website: http://www.antoinedesaintexupery.com/
genre: Philosophy, Children's Books, Nonfiction

About this author edit data:
Antoine de Saint-Exupéry was born in Lyons on June 29, 1900. He flew for the first time at the age of twelve, at the Ambérieu airfield, and it was then that he became determined to be a pilot. He kept that ambition even after moving to a school in Switzerland and while spending summer vacations at the family's château at Saint-Maurice-de-Rémens, in eastern France. (The house at Saint-Maurice appears again and again in Saint-Exupéry's writing.)

Later, in Paris, he failed the entrance exams for the French naval academy and, instead, enrolled at the prestigious art school l'Ecole des Beaux-Arts. In 1921 Saint-Exupéry began serving in the military, and was stationed in Strasbourg. There he learned to be a pilot, and his career path was forever s...more


“VIE ET DESTIN DES PILOTES DE GUERRE - CLAUDE CARLIER



L’ouvrage de Claude Carlier, Vie et destin des pilotes de guerre, rappelle le courage, l’héroïsme et l’abnégation des pilotes de l’Armée de l’Air française face à la redoutable Luftwaffe allemande, de l’entrée en guerre, le 3 septembre 1939, à l’armistice du 25 juin 1940. Dès le début du conflit, alors que l’attentisme sévit sur terre et sur mer, elle doit assurer des missions de reconnaissance et de chasse au-dessus du territoire ennemi au cours desquelles elle prend l’ascendant sur son adversaire. Lors de l’attaque du 10 mai 1940, elle s’efforce de faire face avec des matériels de moindre qualité, mais avec détermination, dans des missions de sacrifice. Alors que s’affirme la puissance allemande au sol, l’armée de l’air française tient tête dans les airs détruisant en combat aérien plus d’appareils qu’elle n’en perd.
Co-édition Gallimard – DMPA (Direction de la Mémoire, du Patrimoine et des Archives)
L’ouvrage de Claude Carlier est riche d’une iconographie inédite issue du fonds du Service Historique de la Défense. Il montre le quotidien des pilotes au sol, la mobilisation industrielle, la préparation des pilotes, ainsi que certaines pièces du dossier militaire d’Antoine de Saint-Exupéry et le Journal de marche du Groupe de Grande Reconnaissance II/33, auquel il est rattaché.
Un chapitre est consacré à Saint-Exupéry, auteur de Pilote de guerre, dont l’engagement singulier reste dans les mémoires comme un pilote emblématique et exemplaire. Cette publication est aussi l’occasion de célébrer les 70 ans de Pilote de guerre chez Gallimard en novembre 1942, interdit quelques mois plus tard par les forces d’Occupation et qui fait de cette œuvre un des premiers textes en prose de résistance.

Dès la déclaration de guerre, l’armée de l’air effectue des missions de reconnaissance et de largage de tracts sur l’Allemagne et, parallèlement, doit faire face aux avions de reconnaissance de la Luftwaffe ainsi qu’à leurs chasseurs d’escorte.
Les premiers engagements montrent les limites des appareils français. Les avions de chasse, à l’exception du Dewoitine D-520, sont surclassés par les Messerschmitt 109. Ils ont tous une vitesse inférieure, un armement plus faible et une dotation en munitions moins importante. Toutefois la supériorité allemande n’est pas flagrante, la « drôle de guerre » se termine par une légère suprématie française. L’attaque du 10 mai 1940 change la situation. Les opérations de la Luftwaffe contre la France sont massives et coordonnées avec l’armée de terre en une guerre éclair.
Alors que ses bases aériennes du Nord et du Nord-Est sont attaquées, les pilotes de l’armée de l’air doivent affronter la chasse allemande, mener des opérations de bombardement pour soutenir les unités terrestres et effectuer des missions de reconnaissances.
« Nous sommes fin mai, en pleine retraite, en plein désastre. On sacrifie les équipages comme on jetterait des verres d’eau dans un incendie de forêt. Comment pèserait-on les risques quand tout s'écroule ? En trois semaines, nous avons perdu dix-sept équipages sur vingt-trois. Nous avons fondu comme une cire. Nous savons bien que l’on ne peut faire autrement que de nous jeter dans le brasier, si même le geste est inutile. Nous sommes cinquante, pour toute la France. Sur nos épaules repose toute la stratégie de l’armée française ! »
« En somme je fais mon métier. Je n’éprouve rien d’autre que le plaisir physique d’actes nourris de sens qui se suffisent à eux-mêmes. Je n’éprouve ni le sentiment d’un grand danger (j’étais autrement inquiet en m’habillant), ni le sentiment d’un grand devoir. Le combat entre l’Occident et le nazisme devient, cette fois-ci, à l’échelle de mes actes, une action sur des manettes, des leviers et des robinets. C’est bien ainsi. »
Antoine de Saint-Exupéry, Pilote de Guerre, 1942

Chapitre 1 : La vie quotidienne dans la « Drôle de guerre »
Chapitre 2 : La mobilisation industrielle
Chapitre 3 : La préparation des avions de combat
Chapitre 4 : Avant de décoller
Chapitre 5 : En vol
Chapitre 6 : Antoine de Saint-Exupéry, un engagement singulier, par Delphine Lacroix

Claude Carlier, Vie et destin des pilotes de guerre
Co-édition Gallimard – DMPA (Direction de la Mémoire, du Patrimoine et des Archives)
145 pages - 150 illustrations originales. 35 € - ISBN 978-2-070-3527-1.
Parution : 4 novembre 2011

ฤดูกาลในประเทศฝรั่งเศส

ฤดูกาลในประเทศฝรั่งเศส

           ฝรั่งเศสเป็นประเทศหนาว   ในปีหนึ่งแบ่งออกเป็น  4  ฤดู   แต่ละฤดูจะกินเวลา  3  เดือน   วันเดือนที่กำหนดว่าเป็นวันเริ่มต้นและวันสิ้นสุดของแต่ละฤดูนั้น   จริง ๆ แล้วไม่ได้หมายความว่าอากาศจะต้องเปลี่ยนแปลงอย่างนั้นจริง ๆ   วันเริ่มต้นฤดูใบไม้ผลิบางปีในบางท้องถิ่นอากาศจะหนาวมากกว่าฤดูหนาวในบางถิ่น   ฤดูทั้ง  4  ของฝรั่งเศสมีดังนี้คือ

            1.  ฤดูใบไม้ผลิ   ( le  printemps )    ฤดูใบไม้ผลิเริ่มวันที่  21   มีนาคม   สิ้นสุดวันที่  21   มิถุนายน   ในฤดูนี้อากาศจะอบอุ่นขึ้น   ต้นไม้ที่โกร๋นปราศจากใบมาตลอดเวลา  3   เดือน   ในฤดูหนาวที่หนาวเย็นจะเริ่มผลิใบ   การเปลี่ยนแปลงนี้รวดเร็วมาก   ในเวลาไม่กี่วันหลังอากาศอบอุ่นต้นไม้จะผลิใบเขียวชอุ่ม   ปลายเดือนมีนาคมและเดือนเมษายนอากาศจะไม่แน่นอน   ในช่วงนี้จึงยังคงเก็บเสื้อโค้ตไม่ได้เพราะอากาศจะหนาวเมื่อไรก็ได้   บางทีอาจจะมีฝนตกบ้าง   อากาศจะดีจริง ๆ  ในเดือนพฤษภาคม   ฤดูใบไม้ผลิเป็นฤดูที่สวยงาม   ฟ้าจะเป็นสีฟ้าใส   พระอาทิตย์ซึ่งไม่เคยปรากฏในฤดูหนาวเริ่มส่องแสง   ฤดูนี้ได้ชื่อว่าเป็นฤดูแห่งดอกไม้แห่งงานฉลองแห่งความรัก  ( la  saison  des  fleurs,  des  fêtes,  des  amours )   มีงานฉลองมากมาย   เช่น  พิธีรับศีลจุ่ม   พิธีแต่งงาน  ฯลฯ   สำหรับนักเรียนนักศึกษา   เดือนอากาศดีนี้หมายถึงการสอบปลายปีด้วย
           แม้ว่าฤดูใบไม้ผลิจะเป็นฤดูที่ทุกคนคิดว่าเป็นฤดูที่สวยงาม   อากาศดี   แต่ก็เป็นฤดูที่อากาศไม่แน่นอน   อากาศจะเปลี่ยนแปลงอย่างไม่คาดหมาย  imprévisible   ก็ได้   แต่ฤดูใบไม้ผลิก็นับว่าเป็นฤดูที่ดีที่สุดฤดูหนึ่งของปี

 2.  ฤดูร้อน  ( l’été )    เริ่มวันที่  22   มิถุนายน   สิ้นสุดวันที่  22   กันยายน   ฤดูร้อนเป็นฤดูที่กลางวันยาวมาก   เมื่อกลางวันยาว   กลางคืนก็สั้นประมาณ  6 – 7  ชั่วโมง   กลางวันยาวในที่นี้   หมายความว่า   พระอาทิตย์ตกดินช้า   สามทุ่มหรือสี่ทุ่มยังไม่มืด   เมื่อไม่มืดก็มีความรู้สึกว่ายังไม่ถึงกลางคืน   ในประเทศสแกนดิเนเวียนนั้นในฤดูร้อน   กว่าพระอาทิตย์ตกดินหรือจะมืดก็ประมาณห้าทุ่มหรือเที่ยงคืน   กลางคืนจะยาวประมาณ  6 – 7  ชั่วโมง    ฤดูร้อนในฝรั่งเศสอากาศร้อน   ผู้คนจึงไปชายทะเล   ฤดูร้อนเป็นฤดูแห่งวันหยุด   ผู้คนเฝ้ารอฤดูนี้เพื่อจะได้ไปเที่ยวทะเล   เพื่อจะได้อาบแดด   เพื่อจะได้รับประทานผลไม้สด ๆ  เช่น  สตรอเบอรี่   แต่ในฤดูร้อนผลไม้ยังไม่อร่อย   ต้องรอให้ผลไม้สุกเสียก่อน   ฤดูร้อนบางปีอากาศอาจจะไม่ดีฝนตกบ่อย ๆ  ฤดูร้อนที่อากาศไม่ดีเรียกว่า   été  pourri   ความหมายก็บอกว่าไม่เพลิดเพลิน   เป็น  “ฤดูร้อนที่เน่าเสีย”   คาดว่า   “été  canicule”   หมายถึงช่วงต้นฤดูร้อนที่อากาศร้อนมาก   บางเมืองอากาศจะร้อนมาก   อุณหภูมิที่สูงสุดในฤดูร้อนในฝรั่งเศสประมาณ  30  องศาเซลเซียส   ซึ่งร้อนมากสำหรับประเทศหนาว   ทำให้คนอยากไป   vacances   โดยเฉพาะคนที่อยู่ในเมืองใหญ่อย่างปารีส

  3.  ฤดูใบไม้ร่วง   ( l’automne )   ฤดูใบไม้ร่วงเริ่มต้นวันที่  23  กันยายน   สิ้นสุดวันที่  21   ธันวาคม   อากาศที่สดใส   แดดจ้าในฤดูร้อนเริ่มเปลี่ยน   ท้องฟ้าสีเทา  ลมแรง   ใบไม้เริ่มเปลี่ยนจากสีเขียวมาเป็นสีเหลือง   กลางวันสั้นมากขึ้น   กลางคืนยาวขึ้น   ใบไม้สีเหลือง   แห้งและร่วง   ฤดูใบไม้ร่วงก็เหมือนฤดูอื่น ๆ  คือ  อาจจะเป็นฤดูใบไม้ร่วงที่อากาศดี   หรือฤดูใบไม้ร่วงที่อากาศไม่ดี   คือ   ฝนอาจจะตกบ่อย   ตอนต้นฤดูอากาศมักจะดี   ตอนปลายฤดู  คือ   เดือนพฤศจิกายนอากาศจะไม่ดี   ท้องฟ้าเป็นสีเทาและมืดครึ้ม   ตอนที่ใบไม้ร่วง   ต้นไม้โกร๋นเป็นตอนที่เศร้า   แต่ฤดูใบไม้ร่วงเป็นฤดูที่สวยฤดูหนึ่ง   เพราะใบไม้ที่เปลี่ยนสีทำให้ฟ้าสวยงามหาที่เปรียบไม่ได้   ป่าไม้ในฤดูใบไม้ร่วง  ( ตอนต้นและตอนกลางฤดู )   จะใช้คำขยายว่า  coloré   ซึ่งหมายถึงระบายด้วยสีประดับด้วยสี  ( อันสวยงาม )   “ศิลปินมักจะให้ฤดูใบไม้ร่วงเป็นฤดูที่สวยที่สุด   เนื่องจากสีใบไม้ที่เปลี่ยนสีแตกต่างกันมากมายหลายสี   ซึ่งธรรมชาติเท่านั้นจะทำได้
            ทางใต้ของฝรั่งเศสอากาศจะไม่หนาว   แต่มีลมแรง  ( mistral )  ทางใต้จึงปลูกต้นไม้ที่สู้ลมได้   เช่น  ต้นมะกอก  ( olivier )    ต้นโอ๊ค  ( chêne  vert )    และต้นไม้ที่มีรากยาว ๆ  เช่น   องุ่น
            ฤดูใบไม้ร่วงเป็นฤดูที่ดีที่สุดของคนบางกลุ่ม   คนฝรั่งเศสจำนวนหนึ่งที่ชอบล่าสัตว์จะถือปืนออกล่าสัตว์   ฤดูนี้เป็นช่วงที่คนในประเทศหนาวสามารถอยู่กลางแจ้งได้ก่อนที่ความหนาวจะคลืบคลานเข้ามาถึง
                                 
 4.  ฤดูหนาว   ( l’hiver )    เริ่มวันที่  22  ธันวาคม   สิ้นสุดวันที่  20  มีนาคม   ปลายฤดูใบไม้ร่วง   กลางวันสั้นมากขึ้น   ท้องฟ้ามืดครึ้ม   ฤดูหนาวในประเทศหนาวหรือประเทศฝรั่งเศสคือ  ความหนาว   ฝนและหิมะ   แต่ฤดูหนาวก็เหมือนฤดูอื่น ๆ  คือ   เป็นฤดูที่คนบางกลุ่มเฝ้ารอ   นั่นคือผู้ที่ชอบกีฬาฤดูหนาวและผู้ทำธุรกิจเกี่ยวกับกีฬาฤดูหนาว   เมืองที่อยู่บริเวณภูเขาและเป็นสถานีสกี   ( Stations  de  ski )   จะคึกคักและมีชีวิตชีวา
            ฤดูหนาวเป็นฤดูแห่ง   “sports  d’hiver”   ครอบครัวหรือโรงเรียนจะพาลูก ๆ  และเด็ก ๆ  ไปเล่นสกีบนภูเขาในช่วง   vacances  de  neige   ผู้เดินทางในการขับรถที่อยู่ในเขตภูเขาที่มีหิมะตกจะต้องมี   pneus  à  clous   หรือ   roués  avec  chaine     ซึ่งเป็นยางรถที่ใช้บนถนนที่ลื่นด้วย  vergla  ( ฝนปนหิมะ )    gel  ( น้ำที่แข็งตัว )    และ   dégel  ( น้ำแข็งที่ละลายแล้ว )   นอกจากเจ้าของรถจะต้องเตรียมรถของตนให้พร้อมที่จะแล่นไปบนถนนที่อันตรายแล้ว   ทางราชการก็เตรียม  chasse – neiges  ( รถกวาดหิมะ )   เพื่อเปิดทางหากหิมะตกมาก ๆ  บนทางหลวงก็จะมีกระสอบทรายและกระสอบเกลือวางไว้ประจำ
            ฤดูหนาวเป็นฤดูแห่งงานฉลอง   จะเห็นว่ามีเทศกาลหลายเทศกาลในฤดูนี้   เช่น   Fête  de  Saint – Nicolas,  Noël,  Nouvel  An,  Fête  des  Rois,  Carnaval
            นอกจากจะได้ชื่อว่าเป็นประเทศที่มีอากาศปานกลาง   ( le  climat  doux   et   tempéré )   ของยุโรปแล้ว   อากาศในฝรั่งเศสยังแตกต่างกันตามลักษณะภูมิประเทศ   และลักษณะที่เด่นคือ   ความไม่แน่นอน   อากาศแต่ละฤดูไม่เหมือนกัน   และฤดูเดียวกันในแต่ละปีก็ไม่เหมือนกัน







Tour de France

Tour de France


            Tour de France  หรือบางครั้งเรียกว่า La Grande Boucle และ Le Tour เป็นการแข่งขันจักรยานทางไกลรอบประเทศฝรั่งเศส ซึ่งจัดขึ้นเป็นเวลา 3 สัปดาห์ในช่วงเดือนกรกฎาคมของทุกปี เริ่มจัดขึ้นตั้งแต่ ค.ศ. 1903 จนถึงปัจจุบัน (เว้นการจัดแข่งขันในช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่งและสอง)

           Tour de France เป็นการแข่งขันจักรยานที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในโลก เป็นการแข่งขันจักรยานทางไกลหนึ่งในสามรายการใหญ่ ที่จัดการแข่งขันในยุโรป รวมเรียกว่า แกรนด์ทัวร์ โดยอีกสองรายการคือ
 Giro d'Italia จัดในอิตาลี ช่วงเดือนพฤษภาคม-ต้นมิถุนายน
 Vuelta a España จัดในสเปน ช่วงเดือนกันยายน
การแข่งขันครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 1903 เกิดขึ้นเนื่องจากการท้าทายกันทางหน้าหนังสือพิมพ์ฝรั่งเศสชื่อ  L'Auto มีนักแข่งเข้าร่วมจำนวนถึง 60 คน แต่สามารถเข้าเส้นชัยได้เพียง 21 คน ซึ่งกิตติศัพท์ของความยากลำบากในการแข่งขัน ทำให้การแข่งขันนี้เป็นที่สนใจ และมีผู้ชมการแข่งขันช่วงสุดท้ายในกรุงปารีส ตามสองฟากถนนระหว่างทางราว 100,000 คน และกลายเป็นประเพณี ที่การแข่งขันทุกครั้งจะไปสิ้นสุดที่ประตูชัย จตุรัสเดอเลตวล ปารีส
ในปี ค.ศ. 1910 เริ่มมีการจัดเส้นทางแข่งขันเข้าไปในเขตเทือกเขาแอลป์ ปัจจุบันเส้นทางการแข่งขันจะผ่านทั้งเทือกเขาแอลป์ ทางตะวันออก และเทือกเขาพีเรนีสทางใต้ของฝรั่งเศส
การแข่งขันตูร์เดอฟรองซ์จะแบ่งเป็นช่วง (stage) เพื่อเก็บคะแนนสะสม ผู้ชนะในแต่ละช่วงจะได้รับเสื้อ (jersey) เพื่อสวมใส่ในวันต่อไป โดยมีสีเฉพาะสำหรับผู้ชนะในแต่ละประเภท คือ
 สีเหลือง (maillot jaune - yellow jersey) สำหรับผู้ที่ทำเวลารวมได้น้อยที่สุด
 สีเขียว (maillot vert - green jersey) สำหรับผู้ที่มีคะแนนรวมสูงที่สุด (the leader of the points classification)
 สีขาวลายจุดสีแดง (maillot à pois rouges - polka dot jersey) สำหรับผู้ชนะในเขตภูเขา ซึ่งมีชื่อเรียกเฉพาะว่า จ้าวภูเขา King of the Mountains
 สีขาว (maillot blanc - white jersey) สำหรับผู้ที่ทำเวลารวมได้น้อยที่สุดสำหรับผู้ที่อายุต่ำกว่า 26 ปี
 สีรุ้ง (maillot arc-en-ciel - rainbow jersey) สำหรับผู้ชนะการแข่งขันจักรยานชิงแชมป์โลก (World Cycling Championship) ซึ่งมีกฏว่าจะต้องใส่เสื้อนี้เมื่อแข่งขันในประเภทเดียวกับที่ผู้แข่งนั้นเป็นแชมป์โลกอยู่
 เสื้อแบบพิเศษ สำหรับผู้มีคะแนนรวมสูงสุด และชนะการแข่งขันช่วงย่อย และจ้าวภูเขา

            Tour de France เป็นกีฬาที่จัดขึ้นประจำปีในเดือนกรกฎาคม อากาศกำลังสบาย เหมาะกับการขี่จักรยาน หากในบางปี อากาศร้อนจัด ผู้แข่งขันซึ่งเรียกในภาษาฝรั่งเศสว่า le coureur จะเหงื่อไหลไคลย้อย มากขึ้นไปอีก น่าจะเป็นอันตรายต่อสุขภาพด้วยความร้อนและความเหนื่อย

เมื่อถึงฤดูร้อน ชาวฝรั่งเศสเตรียมไปพักร้อนกันถ้วนหน้า เริ่มตั้งแต่เดือนมิถุนายน-สิงหาคม ครอบครัวใดมีลูกต้องรอ ให้ปิดเทอมเสียก่อนตอนต้นเดือนกรกฎาคม กรุงปารีสจึงร้างผู้คนในเดือนกรกฎาคมและสิงหาคม เพราะต้องผลัดกันไป ผู้ที่ไม่ได้ไปไหนในเดือนกรกฎาคม จะเฝ้าหน้าโทรทัศน์ เพราะมีการถ่ายทอด Tour de France

อองรี เดส์กรองจ์ (Henri Desgrange) ก่อตั้งหนังสือพิมพ์กีฬาชื่อ L'Auto-Velo แล้วเป็นคดีความกับหนังสือพิมพ์กีฬา Le Velo ก่อตั้งในปี 1892 อองรี เดส์กรองจ์ แพ้ความ จึงต้องเปลี่ยนชื่อเป็น L'Auto ส่วน Le Velo นั้นเปลี่ยนชื่อเป็น Le Journal de l'Automobile ในปี 1904 และเลิกไปในที่สุด

อองรี เดส์กรองจ์ประสบปัญหาการเงินจากการเป็นความกับ Le Velo จึงคิดหา วิธีหาเงินเพิ่ม จึงจัดการแข่งจักรยานในปี 1903 โดยให้ชื่อว่า Tour de France เพื่อแข่งกับการแข่งจักรยานเส้นทางปารีส-เบรสต์ (Brest)-ปารีสของหนังสือพิมพ์ Le Petit Journal และบอร์โดซ์-ปารีสของ Le Velo

Tour de France ครั้งแรกมี 6 ระยะด้วยกันคือ ปารีส ลิอง (Lyon) มาร์แซย (Marseille) ตูลูซ (Toulouse) บอร์โดซ์ (Bordeaux) นองต์ (Nantes) และกลับมาที่ ปารีส มีผู้เข้าแข่งทั้งหมด 60 คน แต่เข้าเส้นชัยเพียง 20 คน ผู้ได้รับชัยชนะคือโมริซ กาแรง (Maurice Garin) ในปี 1904 มีปัญหากระทบกระทั่งกับชาวบ้านในเส้นทางผ่านของผู้เข้าแข่ง

กฎประการหนึ่งของ Tour de France คือ หากเกิดปัญหาเทคนิค นักกีฬา ต้องแก้ไขเองเพียงลำพัง ผู้อื่นไม่สามารถให้ ความช่วยเหลือได้ นั่นเป็นปัญหาที่เกิดกับเออแจน คริสตอฟ (Eugene Christophe) ที่ถูกรถชนล้ม ทำให้เขาช้ากว่าผู้อื่นถึง 4

Tour de France ต้องงดหลังจากปี 1914 เพราะเกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 และกลับมาแข่งใหม่ในปี 1919 ซึ่งกำหนดให้ผู้ได้ รับชัยชนะให้สวมเสื้อสีเหลืองที่เรียกว่า maillot jaune ผู้ได้รับคนแรกคือ เออแจน คริสตอฟนั่นเอง ต่อมาในปี 1953 กำหนดมอบ maillot vert เสื้อสีเขียวแก่ผู้ที่สปรินต์ ได้เร็วที่สุด ส่วน maillot a pois เสื้อสีขาวจุดแดง มีขึ้นในปี 1975 มอบแก่ผู้ที่ชนะช่วง ที่เป็นภูเขา ส่วนเสื้อสีขาว maillot blanc กำหนดในปี 1970 มอบแก่นักกีฬาอายุต่ำกว่า 25 ปีที่ได้รับชัยชนะ

นักกีฬาที่หมอบบนจักรยานเป็นเวลา หลายชั่วโมงต้องมีร่างกายแข็งแรงเป็นเลิศ ทางโค้ง ทางชันขึ้นเขาลงเขา ล้วนอันตราย และเป็นที่มาของโศกนาฏกรรมหลายครั้ง ด้วยว่ามีนักกีฬาที่เสียชีวิตระหว่างการแข่งขัน เช่น ล้มจนศีรษะกระแทกโขดหินจนเสียชีวิต หรือเหนื่อยจนขาดใจตายก็มี กีฬาย่อมนำมา ซึ่งการโด๊ปยา จนกลายเป็นเรื่องฉาว นักกีฬา บางคนถูกขับจากการแข่งขัน

การแข่ง Tour de France มีการรายงานสดทางโทรทัศน์ในทศวรรษ 1960 ปัจจุบันมีการถ่ายทอดสดทางวิทยุและโทรทัศน์ จึงตระหนักว่า Tour de France มิได้เป็นแต่การแข่งขันความเร็วเท่านั้น หากยังได้ชมทัศนียภาพอันสวยงามของเส้นทางแข่งขันด้วย คณะกรรมการผู้จัดเป็นผู้กำหนดเส้นทางซึ่งเปลี่ยนไปในแต่ละปี ผ่านเมืองใดสร้างความคึกคักให้เมืองนั้น

ช่วงกลางเดือนกรกฎาคม 2009 มีกำหนดไปเที่ยวเมืองกอลมาร์ (Colmar) บังเอิญเป็นช่วงที่นักกีฬา Tour de France จะมาถึงเมืองกอลมาร์และออกสตาร์ทในวัน รุ่งขึ้น เป็นเส้นทางการแข่งขันระหว่างเมือง Vittel-Colmar และ Colmar-Besan"on อันที่จริง Tour de France ไม่เคยอยู่ในความสนใจ เห็นแต่ถีบจักรยานไปเรื่อยๆ จะตื่นเต้นตอนเข้าเส้นชัยอย่างเดียว หาก Tour de France มานำเสนออยู่ตรงหน้า จำต้องไปดูให้เป็นที่ประจักษ์

กอลมาร์เคยอยู่ในเส้นทาง Tour de France มาแล้วหลายครั้งกล่าวคือในปี 1931 เส้นทาง Belfort-Colmar 209 กิโลเมตรและ Colmar-Metz 192 กิโลเมตร ในปี 1949 Lausanne-Colmar 283 กม. Colmar-Nancy 137 กม. ในปี 1955 Metz-Colmar 229 กม. Colmar-Zurich 195 กม. ปี 1957 Metz-Colmar 223 กม. Colmar-Besan"on 192 กม. ปี 1997 Fribourg en Brisgau-Colmar 218.5 กม. Colmar-Montbeliard 175.5 กม. และปี 2001 Strasbour-Colmar 162.5 กม. Colmar-Pontarlier 222.5 กม.

กอลมาร์เป็นเมืองที่สวยน่ารักมาก โดยเฉพาะส่วนที่เป็นเมืองเก่า-Vieille Ville บ้านแบบอัลซาส (Alsace) ติดๆ กันบนทาง เดินเล็กๆ ที่ไม่ให้รถวิ่ง จึงเต็มไปด้วยนักท่องเที่ยว อันเป็นที่มาของร้านอาหารที่มีให้เลือกมากมาย มื้อกลางวันราคาไม่แพงแถมอร่อยด้วย เมื่อใกล้วันที่ Tour de France จะมาถึง เทศบาลห้ามจอดรถในลานจอดรถ บางแห่งและถนนบางสาย สร้างความเดือดร้อนให้ชาวเมืองที่ต้องวนรถหาที่จอด ผู้ประกอบการค้าไม่สบอารมณ์นัก เพราะเกรงจะกระทบต่อกิจการ คงเป็นเช่นนั้นจริงๆ นักท่องเที่ยวบางตาในสองวันที่มี Tour de France

วันที่นักกีฬามาถึงนั้นฝนตกตลอดบ่ายและอากาศเย็นมาก จนนักกีฬาต้องสวม เสื้อกันฝนและกันหนาว มัวแต่ไปเที่ยวนอกเมืองจึงพลาดการชมนักกีฬาเข้าเส้นชัย ทว่า ในวันรุ่งขึ้นไปจับจองที่ตั้งแต่ 9.30 น. เพราะคิดว่าจะปล่อยตัวนักกีฬาตอน 10.45 น. ทว่าเป็นความเข้าในผิดทั้งเพเพราะจะปล่อยตัวนักกีฬาเวลา 12.30 น. ถึงกระนั้นไม่ย่นย่อ

เนื่องจากเป็นวันเสาร์ชาวเมืองกอล มาร์จึงมาชมเต็มสองข้างทาง ได้ที่มั่นห่างจากเส้นสตาร์ทเพียงสิบเมตรโดยประมาณ ขณะรอนั้น บริษัทต่างๆ มาแจกสินค้า เช่น หมวกแก็ปสีฟ้าของ Bbox ในเครือของ Bouygues หมวกสีขาวของ Skoda หมวกใส่ นอนจาก Etap Hotel กระบังกันแดดของ Antargaz เครื่องดื่ม Recore ที่มีพนักงานแบกถังมารินใส่ถ้วย น้ำแร่ Vittel เป็นต้น นอกจากนั้น รถของหนังสือพิมพ์ L'Equipe มาจอดขายสินค้า ซึ่งมีทั้งร่ม ทีเชิ้ต เสื้อนัก กีฬาจักรยานที่เรียกว่า maillot เสื้อกันฝน ฯลฯ ทั้งยังตั้งแผงลอยข้างทางด้วย

ยิ่งสาย ผู้คนยิ่งเบียดเสียดจึงเกิดการวิวาท สาวไทยเกาะแผงเหล็กกั้นไว้แน่น เมื่อ มีผู้พยายามเบียดจึงได้เวลาเบียดกลับ ในวันนั้นเฟรเดริก มิตแตรองด์ (Frederic Mitterrand) รัฐมนตรีวัฒนธรรมมาร่วมงาน ด้วย รวมทั้งนักกีฬา Tour de France ในอดีต เช่น เรย์มงด์ ปูลิดอร์ (Raymond Poulidor) แบร์นารด์ อิโนลต์ (Bernard Hinault) ปะรำพิธีมีนักข่าวกีฬาทีวีเป็นผู้ดำเนินรายการ เชิญนักร้องนักแสดงมาร่วมด้วย นิโกเลตตา (Nicoletta) นักร้องรุ่นคุณย่ามาร้องเพลง Mamy Blues อันเลื่องลือในทศวรรษ 1970 เมื่อถึงเวลา 10.45 น. ได้ เวลาเคลื่อน caravane publicitaire ขบวนรถโฆษณาสินค้ายี่ห้อต่างๆ ที่เป็นสปอนเซอร์ การแข่งขัน บ้างทำเป็นหุ่นนักกีฬา บ้างเป็น ตัวสัตว์ซึ่งเป็นโลโกของสินค้า พนักงานประจำรถจะโยนสินค้าให้ผู้คนสองข้างทาง ใครดีใครได้ เป็นส่วนของ Tour de France ที่ครึกครื้นมาก

ใกล้เวลาปล่อยตัวนักกีฬา รถทางการสีแดงซึ่งเป็นพาหนะของประธานกรรมการจัดการแข่งขันขยับมาจอดข้างหน้า ประธานยืนขึ้นเมื่อประทุนรถเปิด เป็นผู้ให้สัญญาณการปล่อยตัวนักกีฬาแถวหน้าสุดจะเป็นตัวเต็งที่ได้เสื้อสามารถสีต่างๆ ต้องใช้ความสามารถในการจับภาพ เพราะเพียงชั่ววินาที นักกีฬาหายหมดเป็นประสบการณ์ที่ไม่มีวันลืม หลังจากยืนรอเป็นเวลาเกือบ 4 ชั่วโมง คงเป็น Tour de France เดียวในชีวิต  

Photobucket Tour De France


รายการแข่งขันจักรยานทางเรียบ(เสือหมอบ)ที่ยิ่งใหญ่และโหดที่สุด
จัดแข่งติดต่อกันมาร้อยกว่าปี
ปีนี้แลนซ์ อาร์มสตรองแชมป์ตูร์เดอฟรองซ์7สมัยกลับมาร่วมการแข่งขันในขณะที่มีอายุ37ปี

ถ้าชนะจะได้ชื่อว่าเป็นแชมป์ตูร์เดอฟรองซ์ที่แก่ที่สุด
เกิดวันที่ 18 กันยายน ค.ศ. 1971 ที่มลรัฐเท็กซัส เป็นนักแข่งจักรยานชาวอเมริกัน 
เจ้าของแชมป์การแข่งขันตูร์ เดอ ฟรองซ์ ติดต่อกัน 7 สมัย ในช่วงปี ค.ศ. 1999 - ค.ศ. 2005 
และเป็นแชมป์โลก ประจำปี ค.ศ. 1993 เมื่ออายุเพียง 21 ปี
แลนซ์ อาร์มสตรอง ป่วยเป็นโรคมะเร็งที่สมอง ปอด และอัณฑะ เมื่อ ค.ศ. 1996 
เขามีชื่อเสียงเป็นอย่างมากในการเอาชนะโรคมะเร็งและกลับมาแข่งจักรยานได้อีกครั้ง 
นอกจากนี้เขายังริเริ่มการออกสายรัดข้อมือ (Wristband) ที่สลักคำว่า "Livestrong" (ที่หมายความว่า มีชีวิตอยู่อย่างเข้มแข็ง) 
เพื่อหาเงินช่วยเหลือผู้ป่วยโรคมะเร็งผ่าน มูลนิธิแลนซ์ อาร์มสตรอง ร่วมกับไนกี้1971 : ลืมตามาชำเลืองดูโลก เมื่อวันที่ 18 ก.ย.ที่เมืองดัลลัส รัฐเทกซัส สหรัฐอเมริกา
1991 : เป็นแชมป์จักรยานสมัครเล่นของอเมริกา
1993 : เริ่มต้นเป็นน่องเหล็กอาชีพ ชนะเลิศรายการ ธริปต์ ดรัก ทริปเปิล ได้เงินรางวัล 1 ล้านเหรียญสหรัฐ 
ได้เป็นแชมป์ของอเมริกา และเข้าร่วมแข่งขันในตูร์ เดอ ฟรองซ์ เป็นครั้งแรกแต่แข่งไม่จบ 
และมาคว้าแชมป์โลกด้วยการ ชนะ มิเกล อินดูเรน จากสเปนในศึกจักรยานเวิลด์ แชมเปี้ยนชิพ
1995 : ชนะรายการทัวร์ ดูปองต์ กับ รายการ คลาสสิกา ซาน เซบาส เตียน และเข้าร่วมศึกตูร์ เดอ ฟรองซ์ เป็นหนที่ 2 ได้อันดับ 36
1996 : ตรวจพบว่าเป็นโรคมะเร็ง ที่กำลังลามไปทั่วร่างกาย และได้ตั้งมูลนิธิสู้โรคมะเร็ง แลนด์ อาร์มสตรอง ขึ้นมา
1997 : ใช้เวลาไปกับการรักษาโรคมะเร็ง ทั้งการฉายรังสี, การผ่าตัดสมอง และเซ็นสัญญาร่วมทีมยูเอส โพสทัล เซอร์วิส
1999 : กลับมาลงแข่งขันอีกครั้ง และได้แชมป์ตูร์ เดอ ฟรองซ์ เป็นครั้งแรก จากการชนะ 4 สเตจ
2000 : คว้าแชมป์ตูร์ เดอ ฟรองซ์ สมัยที่ 2 และได้เหรียญทองแดงในกีฬาโอลิมปิก "ซิดนีย์เกมส์" 
2001 : คว้าแชมป์ตูร์ เดอ ฟรองซ์ สมัยที่ 3 ติดต่อกัน
2002 : ทำสถิติเป็นมนุษย์รายที่ 4 ที่ได้แชมป์ตูร์ เดอ ฟรองซ์ 4 สมัยซ้อน
2003 : คว้าแชมป์ตูร์ เดอ ฟรองซ์ 5 สมัยซ้อน
2004 : ทำสถิติเป็นคนแรกที่คว้าแชมป์ตูร์ เดอ ฟรองซ์ 6 สมัยซ้อน
2005:ทำสถิติเป็นคนแรกที่คว้าแชมป์ตูร์ เดอ ฟรองซ์ 7 สมัยซ้อน

ปีนี้ 2009 จะคว้าแชมป์สมัยที่8ได้หรือไม่ ต้องติดตามด้วยความระทึกในหทัยพลัน
Image: *** BESTPIX *** Le Tour de France 2012 - Stage Twenty


ผู้ชนะ Tour de France ในปี 2012

    
        Andy Schlec kนักจักรยานจาก Luxemberg ซึ่งได้ตำแหน่งรองชนะเลิศโอเวอร์ออลใน Tour de France ปี 2010โดยผู้ครองตำแหน่งชนะเลิศคือAlberto Contador แต่ภายหลังถูกสั่งห้ามเข้าแข่งขันและถือว่าชัยชนะครั้งนั้นเป็นโมฆะด้วยข้อหาใช้สารกระตุ้น Clenbuterol(เคลนบูเทรอลหรือสารเร่งเนื้อแดงปนเปื้อนในเนื้อวัวที่ Contador รับประทาน) โดยเมื่อต้นปีนี้ Andy Schleckได้กล่าวกับสื่อในการให้สัมภาษณ์ครั้งหนึ่งว่า “ถ้าผมได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้ชนะโอเวอร์ออลของ Tour de France ปี2010 ผมคงไม่ดีใจเท่าไรหรอกครับ ผมได้สู้กับ Contador ในการแข่งนั้นแล้วและผมก็แพ้ไปแล้ว เป้าหมายของผมคือต้องชนะ Tour de France ด้วยการแข่งขัน และต้องเป็นที่หนึ่งจากการสู้กันในสนามครับไม่ใช่ในศาล การได้ชัยชนะในปีนี้ต่างหากผมถึงจะถือว่าเป็นชัยชนะครั้งแรกใน Tour de France”
บัดนี้ประธานกรรมการจัดการแข่งขันTour de France คือ Christian Prudhomme ได้ประกาศชัดแล้วว่าเขาจะจัดพิธีมอบตำแหน่งผู้ชนะอย่างเป็นทางการให้กับ Andy Schleck สำหรับTour de France ปี 2010 ซึ่ง Prudhomme ได้กล่าวกับหนังสือพิมพ์ Le Soir (เลอ ซัวร์)ของเบลเยียมว่า “เราต้องประกาศให้โลกรู้ แม้เราจะรู้กันว่า Andy Schleck ไม่ได้ชนะจากการแข่งในสนามแข่งขันก็ตามครับ” สำหรับรายละเอียดของพิธีรับตำแหน่งแชมป์ของ Andy Schleck




La fête en France

 La  fête  en  France

Date
Férié
Origine
Caractéristiques et activités
Jour de l’An
Premier janvier
Oui
Laïque
On décore la maison avec du gui, symbole du bonheur. On s’embrasse à minuit en se souhaitant "bonne année". On réveillonne toute la nuit.
Epiphanie
(Fête des Rois)
Premier dimanche après le Jour de l’An.
.
Catholique :apparition de Jésus aux Trois Mages.
On partage une galette dans laquelle on a caché une fève. Celui ou celle qui trouve la fève devient le "Roi" ou la "Reine" et on lui place unecouronne sur la tête.
Chandeleur
2 février
Non
Catholique : Jésus a 40 jours et Simeon le nomme : "Lumière des Nations".
C’est le jour des "chandelles". On fait des crêpesà la maison.
Tradition : Faites sauter des crêpes dans la poêle avec une pièce de monnaie dans la main gauche si vous voulez faire rentrer la fortune à la maison.
Saint Valentin
14 février
Non
Laïque, l’origine est anglo-saxonne.
C’est la fête des amoureux : on offre des fleurs à celui ou celle qu’on aime.
Mardi-Gras
40 jours avant Pâques.
Non
Catholique.
Dernier jour du Carnaval avant le Carême, qui commence avec le jeûne du Mercredi des Cendres et finit 40 jours plus tard, à Pâques. Le jour du Carnaval, des chars grotesques défilent dans les rues et les enfants se déguisent.
1er Avril
Premier avril
Non
Laïque
Jour des plaisanteries, des blagues, des canulars, des fausses nouvelles dans les médias. Les enfants s’accrochent des petits poissons de papier dans le dos.
Rameaux
7 jours avant Pâques. Dimanche
.
Catholique : en souvenir de l’entrée de Jésus a Jérusalem.
Des rameaux (jeunes branches) sont bénis à la messe. Les rameaux sont déposés ensuite dans les maisons, ou sur les tombes.
Pâques
22-25 avril
Dimanche et lundi
Oui
Catholique : en souvenir de laRésurrection de Jésus.
C’est l’occasion de grandes messes. Les enfants cherchent des oeufs en chocolat dans les maisons et jardins que les cloches de Rome ont fait tomber du ciel. Ce sont en fait les parents qui les ont cachés.
Fête du Travail
Premier mai
Oui
Laïque : commémoration de la manifestation des syndicats d’ouvriers américains en 1886.
Les familles vont cueillir le muguet dans les forêts et on en décore les maisons. Des manifestationssont organisées par les syndicats pour symboliser l’unité des travailleurs.
Victoire 1945
8 mai
Oui
Laïque : commémoration de la fin de la Seconde Guerre mondiale (1939-45).
Des cérémonies ont lieu en souvenir des soldats tués pendant la guerre. Des gerbes de fleurs sont déposées sur la tombe du Soldat Inconnu, au pied de l’Arc de Triomphe à Paris et sur les Monuments aux Morts.
Ascension
40 jours après Pâques. Jeudi.
Oui
Catholique :
Jésus monte au ciel.
Des messes sont célébrées dans les églises.
Pentecôte
50 jours après Pâques. Dimanche et lundi.
Oui
Catholique : Commémore la descente du Saint Esprit sur les Apôtres.
Des messes sont célébrées dans les églises.
Fête des Mères
Dernier dimanche de mai.
.
Laïque (cir. 1950)
Les enfants offrent des cadeaux à leur mère.
Fête des Pères
Troisième dimanche de juin.
.
Laïque
Les enfants offrent des cadeaux à leur père.
Féte de la Musique
21 juin
Non
Laïque : créée dans les années 80
Des concerts sont organisés partout dans le pays. Chacun peut organiser son propre concert dans la rue, sur les places. C’est une grande fête populaire qui a lieu dans plus en plus de pays.
Fête Nationale
14 juillet
Oui
Laïque : commémore laprise de la Bastille en 1789.
Des défilés militaires ont lieu, en particulier sur les Champs Elysées à Paris. On tire des feux d’artifice partout dans le pays. Des bals populaires sont organisés dans toutes les villes.
Assomption
15 août
Oui
Catholique : en souvenir de la montée de laSainte Vierge au ciel.
Des défilés et des processions ont lieu partout dans le pays. Des bals populaires sont organisés, ainsi que des feux d’artifice.
Toussaint
Premier novembre
Oui
Catholique : fête detous les Saints
C’est une fête en souvenir des morts. Le 2 novembre, on se rend dans les cimetières pour fleurir les tombes avec des chrysanthèmes.
Armistice de 1918
11 novembre
Oui
Laïque : Commémoration de la fin de la Première Guerre mondiale (1914-18).
Des cérémonies ont lieu en souvenir des soldats tués pendant la guerre. Des gerbes de fleurs sont déposées sur la tombe du Soldat Inconnu, au pied de l’Arc de Triomphe à Paris et sur lesMonuments aux Morts.
Sainte Catherine
25 novembre
Non
Catholique
Cette fête célèbre les jeunes filles de 25 ans qui ne sont pas encore mariées. Les "catherinettes" sont les reines des réceptions organisées en leur honneur. Elles portent un chapeau qu’elles ont confectionné elles-mêmes. C’est une féte de moins en moins célébrée aujourd’hui
Noël
25 décembre
Oui
Catholique :
Naissance de Jésus.
C’est une fête familiale. Un sapin de Noël et unecrèche sont installés dans la maison. Les enfants reçoivent des cadeaux du "Père Noël". Des messes sont célébrées le 24 à minuit, après le repas familial.



 ประธานาธิบดีฝรั่งเศส
     ประธานาธิบดีสาธารณรัฐฝรั่งเศส (ฝรั่งเศส: Président de la République française) เป็นตำแหน่งสูงสุดฝ่ายอำนาจบริหารของประเทศฝรั่งเศสโดยมาจากการเลือกตั้ง และดำรงตำแหน่งเป็นทั้งประมุขแห่งรัฐ จอมทัพ ผู้รับรองรัฐธรรมนูญและผู้ปกครองร่วมอันดอร์รา
ตำแหน่งประธานาธิบดีฝรั่งเศสได้ถูกก่อตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2391 (สมัยสาธารณรัฐฝรั่งเศสที่ 2) ซึ่งทำให้ระบอบประธานาธิบดีของประเทศฝรั่งเศสนั้น เป็นระบอบที่มีความเป็นมายาวนานที่สุดประเทศหนึ่งในทวีปยุโรป จวบจนปัจจุบัน มีผู้ดำรงตำแหน่งดังกล่าวทั้งสิ้น 23 คน ซึ่งทุกคนได้พำนักในปาแลเดอเลลีเซมาแล้วรัฐธรรมนูญในแต่สาธารณรัฐนั้น ได้กำหนดอำนาจหน้าที่และความรับผิดชอบของประธานาธิบดีแตกต่างกันไป ตั้งแต่ พ.ศ. 2502 เป็นต้นมา ประเทศฝรั่งเศสอยู่ในยุคสาธารณรัฐฝรั่งเศสที่ 5 ในระบอบกึ่งประธานาธิบดี โดยประธานาธิบดีฝรั่งเศสคนปัจจุบันคือ ฟร็องซัว ออล็องด์ ซึ่งเข้าดำรงตำแหน่งเมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2555 
อดีตประธานาธิบดี

ในปัจจุบันประเทศฝรั่งเศสมีอดีตประธานาธิบดีที่ยังมีชีวิตเหลืออยู่ 3 ท่านได้แก่
วาเลรี ฌิสการ์ แด็สแต็ง (ดำรงตำแหน่ง: พ.ศ. 2517 - พ.ศ. 2524)
ฌัก ชีรัก (ดำรงตำแหน่ง: พ.ศ. 2538 - พ.ศ. 2550)
นีกอลา ซาร์กอซี (ดำรงตำแหน่ง: พ.ศ. 2550 - พ.ศ. 2555)
ตามกฎหมายของประเทศฝรั่งเศส อดีตประธานาธิบดีจะได้รับเงินบำนาญตลอดชีพในฐานะเท่ากับที่ปรึกษากิติมศักดิ์แห่งรัฐ (French: conseiller d'État) และได้รับหนังสือเดินทางฑูต และตามรัฐธรรมนูญมาตราที่ 56 อดีตประธานาธิบดีจะดำรงตำแหน่งสมาชิกแห่งสภาร่างรัฐธรรมนูญด้วย
  “ฟรังซัวส์ ออลลองด์” กับตำแหน่งประธานาธิบดีฝรั่งเศสคนล่าสุด
    ฟรังซัวส์ ออลลองด์ ผู้นำพรรคโซเชียลลิสต์วัย 57 ปี เอาชนะซาร์โกซี อดีตประธานาธิบดีฝรั่งเศส ด้วยคะแนน 51.62% ต่อ 48.38% ในการเลือกตั้งรอบสองซึ่งเป็นการสู้กันตัวต่อตัว โดยที่แคมเปญเลือกตั้งถูกครอบงำด้วยความไม่พอใจต่อวิกฤตเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นประเด็นเดียวกับที่ทำให้ผู้นำในยุโรป 10 คนพ้นจากตำแหน่งมาแล้วนับจากปลายปี 2009
ออลลองด์ เกิดเมื่อวันที่ 12 สิงหาคม 1954 เคยดำรงตำแน่งเลขาธิการพรรคโซเซียลลิสต์ ตั้งแต่ปี 1997-2008 และรองผู้อำนวยการสมัชชาแห่งชาติของฝรั่งเศส ในเขตเลือกตั้งที่ 1 จังหวัดกอแรซ เมื่อปี 1997 นอกจากนี้ออลลองด์ ยังเคยดำรงตำแหน่งนายกเทศมนตรีเมืองตูล ในปี 2001-2008 อีกด้วย
ออลลองด์อาศัยอยู่ในครอบครัวชนชั้นกลางที่เมืองรูออง แม่ของออลลองด์เป็นนักสังคมสงเคราะห์ ส่วนพ่อเป็นแพทย์หู คอ จมูก ที่เคยเรียกร้องสิทธิอย่างรุนแรงในการเมืองระดับท้องถิ่น ออลลองด์จบการศึกษาจากสถาบันการศึกษาด้านการเมืองของปารีส (Paris Institute of Political Studies) ในปี1980 ทันทีที่จบการศึกษา ออลลองด์ก็ได้เข้าทำงานในตำแหน่งที่ปรึกษาศาลตรวจสอบของฝรั่งเศส
สำหรับประสบการณ์ทางการเมือง ออลลองด์ได้เข้าร่วมกับพรรคโซเซียลลิสต์ หลังจากที่ได้เคยเข้าเป็นนักเรียนอาสาสมัครทำงานแคมเปญการเลือกตั้ง ประธานาธิบดี ฟรองซัวส์ มิแตรรองด์ ในปี 1974 ถึงแม้แคมเปญดังกล่าวจะไม่ประสบความสำเร็จก็ตาม ซึ่งทำให้ออลลองด์ได้พบกับ ฌาค อัตตาลิ ที่ปรึกษาอาวุโสของมิแตรรองด์ ผู้ที่ผลักดันให้ออลลองด์เข้าแข่งขันในสนามเลือกตั้งสมัชชาแห่งชาติของ ฝรั่งเศสในปี 1981 เพื่อสู้กับประธานาธิบดี ฌาค ชีรัก จากพรรคนีโอกอลิสท์ ซึ่งออลลองด์พ่ายแพ้ต่อชีรักในการแข่งขันรอบแรก อย่างไรก็ตาม ออลลองด์ก็ได้เข้าไปเป็นที่ปรึกษาพิเศษสำหรับการเลือกตั้งประธานาธิบดีฟรอง ซัวส์ มิแตรรองด์ ครั้งใหม่ ก่อนที่จะเข้าทำงานให้กับ แม็กซ์ แกลโล โฆษกรัฐบาลในสมัยนั้น ต่อมาออลลองด์ก็ได้เข้าป็นสมาชิกสภาเทศบาลเมืองอุสเซล ในปี 1983 และเขาได้ลงแข่งขันในสนามเลือกตั้งสมัชชาแห่งชาติ จังหวัดกอแรซ อีกครั้ง และพ่ายแพ้ในปี 1993 เนื่องจากจำนวนที่นั่งได้เพิ่มขึ้นตามการใช้สิทธิของพรรคโซเซียลลิสท์
ฟรังซัวส์ ออลลองด์ ได้กลับเข้าสู่การเลือกตั้งครั้งใหม่และได้รับชัยชนะจนสามารถเข้าทำงานใน สมัชชาแห่งชาติในปี 1997 และในปีเดียวกันเขาก็ได้เข้าเป็นเลขาธิการพรรคโซเซียลลิสท์ ซึ่งดำรงตำแหน่งนี้ยาวนานถึง 11 ปี หลังจากนั้นเขาก็ได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งประธานสภาทั่วไปของจังหวัดกอแรซ ในเดือนเมษายน ปี2008 นอกจากนี้เขายังได้รับรางวัล The First European Prize ในสาขาประวัติศาสตร์ท้องถิ่น เมื่อวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2008 โดยการเสนอของฌอง บูเทียร์ นักประวัติศาสตร์ชาวฝรั่งเศสอีกด้วย
ฟรังซัวส์ ออลลองด์ได้รับเลือกให้เป็นประธานาธิบดีฝรั่งเศสเมื่อวันที่ 6 พ.ค.2012 และจะเข้าปฏิบัติหน้าที่ในวันที่ 15 พ.ค.นี้

วันชาติฝรั่งเศส


วันชาติฝรั่งเศส 

  วันชาติฝรั่งเศส ถือเอาวันที่ประชาชาชนบุกยึกคุก Bastille ปลดปล่อยนักโทษทางการเมืองที่ขัดเเย้งกับระบบขุนนาง เเละเริ่มต้นการปกครองเเบบสาธารณรัฐเป็นครั้งแรกในประเทศฝรั่งเศส ซึ่งตรงกับวันที่ 14 กรกฏาคม จึงใช้วันนี้เป็นวันชาติเรื่อยมารวมทั้งกำหนดให้เป็นวันหยุดราชการอีกด้วย
   คุก  Bastille เป็นสถานที่คุมขังนักโทษทางการเมืองที่มีเเนวคิดต่อต้านการปกครองของพระเจ้า หลุยส์ที่ 16 โดยในวันที่ 5 พฤษภาคม ค.ศ.1789 หากจากมีกระเเสความเคลื่อนไหวทางการเมืองอย่างรุนเเรง บรรดาเหล่าขุนนางได้เปิดประชุมเพื่อปรึกษาหารือถึงกรณีที่ประชาชนส่วนใหญ่ ของฝรั่งเศสเรียกร้องให้เปลี่ยนเเปลงการปกครองให้เป็นระบอบสาธารณรัฐ รวมทั้งให้มีการ ร่างรัฐธรรมนูญและก่อตั้งรัฐสภาแห่งชาติ 

       20 มิถุนายน ค.ศ. 1789  ก่อกำเนิด Jeu de Paume โดยตัวแทนของคณะก่อการจากชนชั้นกรรมมาชีพ ได้กระทำสัตยาบรรณร่วมกัน โดยจารึกไว้ว่า เหล่าคณะผู้ก่อการจะไม่ แตกแยกกันจนกว่าจะมีการร่างรัฐธรรมนูญเป็น ผลสำเร็จ แนวความคิดของคณะผู้ก่อการ ได้รับการตอบรับอย่างยิ่งยวดจากประชาชนชาว ฝรั่งเศสที่ต้องต่อสู้กับความแร้นแค้น และสภาวะเสื่อมถอยของสังคมในสมัยนั้น ในขณะที่แนวความคิดนี้ขัดแย้งกันอย่างสิ้นเชิง กับชนชั้นขุนนาง

       14 กรกฏาคม ค.ศ. 1789  เมื่อมีแนวร่วมมากขึ้น  ทำให้คณะปฏิวัติ แข็งแกร่งขึ้นทุกขณะ ประชาชนในกรุงปารีสได้รวมตัวกันเดินขบวนไปยังคุก Bastille เพื่อ ปลดปล่อยนักโทษทางการเมืองที่มีความเห็นไม่ตรงกันกับบรรดาเหล่าขุนนาง โดยสามารถบุกยึดคุก Bastille ได้ภายใน 1 วันด้วยพลังประชาชนเเละมีหน่วยทหารบางหน่วยที่เเปรพักต์มาร่วมในการบุกยึด ครั้งนี้

       16 กรกฎาคม ค.ศ. 1789  การปฏิวัติที่ประสบผลสำเร็จ ด้วยความล่มสลาย ของคุก Bastille ภายในเวลา 24 ชั่วโมงหลังจากเริ่มก่อการ ทำให้การบุกยึดคุก Bastille กลายเป็นสัญลักษณ์แห่งเสรีภาพ และประชาธิปไตย ของชาวฝรั่งเศส ทุกคนตราบจนกระทั่งทุกวันนี้ วันที่ 14 กรกฎาคม จึงถูกเลือกมาให้เป็นวันชาติฝรั่งเศส

       เเต่หลังจากการปฏิวัติเเล้วฝรั่งเศสก็ไม่ได้เดินไปสู่ความเจริญอย่างที่นักคิดใน สมัยนั้นคาดการณ์ไว้ กลับกลายเป็นการทำร้ายล้างทางการเมืองกันระหว่างพวกที่ร่วมปฏิวัติมา ด้วยผลประโยชน์ที่ยั่วยวนทำให้เเนวคิดปรัชญาที่ต้องการเห็นประเทศชาติเจริญ กลับกลายเป็นความเห็นเเก่ตัวเเละเห็นเเก่ได้ไป ทำให้เปิดทางให้นายทหารหนุ่มผู้หนึ่งนามว่า นโปเลียน โบนาปาร์ต ก้าวขึ้นมาเป็นจักรพรรดิของประเทศฝรั่งเศสในเวลาต่อมา
        เมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม ค.ศ.1789 กองทัพทหาร และประชาชนได้พร้อมใจกันบุกคุกบาสติลย์ (Bastilles) เพื่อปลดปล่อย นักโทษ การเมือง ให้เป็นอิสระ อันคุกบาสติลย์นี้ถือว่าเป็นเครื่องหมายของการบีบบังคับและความอยุติธรรม ซึ่งเกิดจากการปกครอง โดยกษัตริย์ ที่ไร้ ทศพิธราชธรรม จึงประกาศวันที่ได้รับการปลดปล่อยนี้ให้เป็น..วันชาติของฝรั่งเศส (La Fête Nationale)
        เมื่อหลายร้อยปีก่อน ประเทศฝรั่งเศสมีการปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ จนกระทั่งถึงปลายศตวรรษที่ 16 ซึ่งตรงกับรัชสมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 แห่ง ราชวงศ์บูรบอง (Bourbon)บ้านเมืองอยู่ในระยะของสงครามอังกฤษ เพื่อแย่งชิงอาณานิคม ทำให้การเงินการคลังของประเทศล้มละลาย ประชาชนมีความเป็นอยู่อย่างอัตคัดขาดแคลน แต่ในทางกลับกัน ราชสำนักกลับมีความเป็นอยู่อย่างหรูหรา ฟุ่มเฟือย ชนชั้นขุนนางได้รับการยกเว้น ภาษี ส่วนประชาชน ที่มีความยากจนอยู่แล้วต้องถูกทางการรีดภาษีอย่างหนัก ทำให้เกิดความไม่พอใจอย่างมาก 
      ในตอนนั้น ชนชั้นกลางมีบทบาทสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงการปกครอง เนื่องจากชนกลุ่มนี้มีการศึกษาดี ร่ำรวย แต่ไม่มี สิทธิในทาง การเมือง การปกครอง เทียบเท่าชนชั้นพระ และชนชั้นขุนนาง จึงต้องการเปลี่ยนแปลงระบบเก่า และได้กุมอำนาจทางเศรษฐกิจเอาไว้ โดยเข้าร่วม การปฏิวัติในอเมริกา ซึ่งมีสาระสำคัญในทางทฤษฎีว่าด้วยสิทธิิ ตามธรรมชาติิของมนุษย์ และสองนักปราชญ์แห่งยุคคือ วอลแตร์ กับ มองเตสกิเออ นำทฤษฎีดังกล่าวมาสอนประชาชน ในขณะเดียวกัน มาควิส เดอ ลา ฟาแยตต์ (Marquis de la Fayett) ซึ่งทำสงคราม ช่วยเหลือ ชาวอาณานิคม ในอเมริกาต่อต้านอังกฤษจนได้ชัยชนะ ก็นำความคิดนี้มาเผยแพร่ จึงทำให้ ประชาชนชาวฝรั่งเศส ดิ้นรนเรียกร้อง ให้ได้มาซึ่งสิทธิและเสรีภาพ
ยิ่งขึ้น    
      เดือนมิถุนายน ค.ศ. 1789 ประชาชนซึ่งมีความเป็นอยู่อย่างแร้นแค้น ได้บุกเข้าปล้นสะดมบ้านของพวกขุนนาง กรุงปารีสมีแต่่ ความวุ่นวาย ชนชั้นกลางได้รวมตัวกันก่อตั้งกองทหารรักษาการณ์แห่งชาติเข้าร่วม กับประชาชนทำลายคุกบาสติลย์ ซึ่งเท่ากับว่า เป็นการปลดแอกอำนาจการปกครองโดยกษัตริย์ นับเป็นการปฏิวัติครั้งใหญ่ยิ่ง และสำคัญของโลก ผลกระทบของ เหตุการณ์ได้แพร่ไปสู่ประเทศอื่นๆในยุโรป โดยเฉพาะในรัสเซีย กล่าวคือระยะแรกของการปฏิวัติ ประมาณปี ค.ศ. 1791ได้มีการ ร่างรัฐธรรมนูญขึ้นมาใช้ กษัตริย์ต้องอยู่ใต้กฎหมาย และรัฐสภา ก็มีเพียงสภาเดียว คือ สภานิติบัญญัติ   ชนชั้นกรรมาชีพมีบทบาทในการปกครอง  แต่ด้วยความเกรงกลัวว่า การล้มล้างสถาบันกษัตริย์ ์จะแพร่ขยายไปทั่วยุโรป ทำให้ออสเตรียและปรัสเซียยกทัพรุกฝรั่งเศสแต่ไม่สำเร็จ ทางสภานิติบัญญัติจึงยกเลิกระบบ ราชาธิปไตยและประกาศเป็นประเทศสาธารณรัฐ เมื่อวันที่ 20 กันยายน ค.ศ. 1792 และตั้งสภาใหม่ขึ้นมา และในปี 1793 ก็ได้สำเร็จโทษพระเจ้าหลุยส์และพระนางมารี อังตัวเนต์ด้วย การประหารชีวิตด้วยเครื่องประหาร กิโยตีน แม้ผลการปฏิวัติจะสำเร็จ แต่ประชาชนส่วนใหญ่ก็ยังมีฐานะยากจนเหมือนเดิม รัฐบาลยังมุ่งแต่กอบโกยผลประโยชน์กัน จนมีบุคคลคนหนึ่งแสวงหาอำนาจโดย เป็นเครื่องมือ ให้ประชาชนเลื่อมใส และยึดอำนาจการปกครองมาเป็นของตน บุคคลผู้นี้คือ นโปเลียน โบนาปาร์ต
      นโปเลียนได้กลายเป็นวีรบุรุษของชาติเพราะอาศัยความล้มเหลวของรัฐบาลสถาปนาตนเป็นแม่ทัพใหญ่คุมกองทัพ ออก ไปรบชนะออสเตรเลียในปี ค.ศ.1797 ทั้งยังแพร่ขยายอาณาเขตไปทั่วยุโรป   จนปี ค.ศ. 1804 ได้สถาปนาตนเอง ขึ้นเป็นจักรพรรดินโปเลียน และพยายาม ที่จะครอบครอง รัซเซียให้ได้ จึงทำสงคราม กับรัสเซีย และเป็นครั้งแรก ที่นโปเลียนแพ้ ทำให้ชนชาติต่างๆที่อยู่ภายใต้การปกครองของฝรั่งเศสเกิดกำลังใจที่จะต่อต้าน เมื่อนโปเลียน ได้ถูกเนรเทศไปยังเกาะอัลบา พระเจ้าหลุยส์ได้กลับมาครองราชย์ใหม่แต่เพียงระยะสั้นๆ ในปี ค.ศ.1815 นโปเลียนหนีกลับมาได้ อีกครั้งและประกาศตนเป็นจักรพรรดิ รวบรวมกำลังทหารเข้าต่อสู้กับ ฝ่ายพันธมิตร ต่างๆ เกิดสงครามวอเตอร์ลูขึ้น แต่ฝรั่งเศสก็รบแพ้ ทำให้ นโปเลียนถูกส่งขังที่เกาะเซนต์เฮเลนา นับเป็นการสิ้นสุดการครอง บัลลังก์เพียง 100 วันของนโปเลียน แล้วเขาก็เสียชีวิตบนเกาะนี้

      ในปี ค.ศ. 1821  พระ เจ้าหลุยส์ที่ 18 กลับมาขึ้นครองราชย์อีกครั้ง แต่พระอนุชาคือ พระเจ้าชาร์ลส์ที่ 10 ทรงพยายาม ฟื้นฟูระบบเก่าขึ้นมาอีก จึงมีการปฏิวัติขึ้นอีก พระเจ้าหลุยส์ฟิลิปซึ่งดำรงตำแหน่งกษัตริย์อยู่ ได้ถูกเนรเทศออกนอก ประเทศ และต่อมาก็ได้มีการสถาปนา สาธารณรัฐขึ้น เป็นครั้งที่ 2 โดยมีหลุยส์นโปเลียนทำการรัฐประหารตั้งตัวเองขึ้น เป็นจักรพรรดิ ซึ่งพระองค์ทำให้ชาติฝรั่งเศสมีความเข้มแข็ง มั่นคงขึ้น สภาพทุกอย่าง ในประเทศดีขึ้น และมีการขยาย อาณานิคมไปยังประเทศต่างๆ    
      ในปี ค.ศ. 1860 พระเจ้าหลุยส์นโปเลียน สถาปนาจักรพรรดิฝรั่งเศสในเม็กซิโกแต่ไม่สำเร็จ เพราะ ถูกอเมริกา ขัดขวางไว้ และยังต้องทำ สงคราม กับปรัสเซียอีก ฝรั่งเศสก็เป็นฝ่ายแพ้อีกครั้งและต้องเสียดินแดนในแคว้นอัลซาสให้แก่ ปรัสเซีย อีกด้วย ซึ่งทำให้พระองค์ต้องสละราชบัลลังก์    
      ในปี ค.ศ.1875 มีการสถาปนาฝรั่งเศสเป็นครั้งที่ 3 ยุคของนโปเลียนสิ้นสุดลง ทำให้ประเทศฝรั่งเศสอ่อนแอ เป็นอย่างมาก ต้องเสียดินแดน ให้ผู้รุกราน ประจวบกับเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ขึ้น เป็นเหตุให้ฝรั่งเศส ยิ่งบอบช้ำ ขึ้นไปอีก ภายหลัง ได้มี ีการเซ็นสัญญาสงบศึกที่ Vinchy แล้วฝรั่งเศสก็ประกาศตัวเป็นอิสรภาพ โดยความช่วยเหลือ จากฝ่ายพันธมิตรต่างๆ ในเดือนกันยายนปี 1944 นายพลชาลส์เดอโกล์ ก็ได้ดำรงตำแหน่งผู้นำรัฐบาล ในปี ค.ศ.1946 ซึ่งเป็นยุคของสาธารณรัฐที่ 4
    ระหว่างปี ค.ศ. 1946-1958 นายพลเดอโกล์ กลับมาดำรงตำแหน่งผู้นำอีกครั้ง ระหว่างที่ฝรั่งเศสเข้าร่วมวิกฤติการณ์ใน แอลจีเรีย เขาทำให้ ฝรั่งเศสเป็นประเทศที่มีสังคม เปลี่ยนไปสู่ระบบเศรษฐกิจ โดยพัฒนาเศรษฐกิจและเทคโนโลยี และพัฒนาฝรั่งเศสดีขึ้นในหลายๆด้าน ทำให้เป็นที่ ยอมรับจากผู้คนที่นิยมในตัวเขา และให้สถาปนาฝรั่งเศส เป็นสาธารณรัฐ เป็นครั้งที่ 5 ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1958-ปัจจุบัน ต่อมามีการชุมนุม ประท้วง รัฐบาลในกรุงปารีส ทำให้รัฐบาล ต้องยอมรับมติประชาชนที่ว่าด้วยการปฏิรูป กฎหมาย รัฐธรรมนูญนายพลเดอโกล์จึงขอลาออกจากตำแหน่ง    

ในวันที่ 10 พ.ค. ปี ค.ศ. 1981 ฝรั่งเศสได้ประธานาธิบดีคนใหม่ ที่มาจากการเลือกตั้ง คือประธานาธิบดีฟรังซัวส์ มิตแตร์รองด์ ผู้สมัครจากพรรค สังคมนิยม จึงบริหารงานด้วยระบอบสังคมนิยม และอยู่ในต่ำแหน่ง 14 ปีด้วยกัน จนกระทั่งมีการเลือกตั้งใหม่ ซึ่ึงทำให้ นายฌาคส์ ชีรัค ผู้สมัครจาก พรรคสังคมนิยมเช่นเดียวกันเป็นผู้ชนะการเลือกตั้ง เข้ารับการเป็นประธานาธิบดีคนใหม่ในเดือนมิถุนายน ปี ค.ศ.1995    
สำหรับความสัมพันธ์ของไทยและฝรั่งเศสนั้น มีมาตั้งแต่ สมัยกรุงศรีอยุธยาในรัชสมัยของ สมเด็จ พระนารายณ์มหาราช แต่ก็ต้องสิ้นสุดลง เพราะ การเมือง การปกครองของฝรั่งเศสกำลังวุ่นวาย .. ในสมัยรัตนโกสินทร์ ตอนต้น ความสัมพันธ์กับฝรั่งเศสไม่ราบรื่น เพราะไทยพอใจทำการค้า กับจีน และมลายูมากกว่าประเทศ ทางยุโรป


จนถึงรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ฝรั่งเศสเข้ามามีบทบาทมากขึ้น แต่จุดประสงค์ คือต้องการที่จะให้ไทยเป็นเมืองขึ้น แต่ด้วย พระปรีชาสามารถของพระองค์ทำให้รอดพ้นเหตุการณ์นั้นมาได้

ปัจจุบันประเทศไทยได้รับวัฒนธรรมต่างๆของฝรั่งเศสเข้ามา ทั้งด้านสังคม เศรษฐกิจ การเมือง การปกครอง.

ประชากรประเทศไทย

  ประชากรประเทศไทย

  ไทยมีจำนวนประชากรมากเป็นอันดับ 4 ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กทม. มากสุด 2.9 ล้านคน แต่ขนาดครัวเรือนเล็กสุด

          วัน ที่ 8 เมษายน นายวิบูลย์ทัต สุทันธนกิตติ์ ผู้อำนวยการสำนักงานสถิติแห่งชาติ แถลงผลเบื้องต้นสำมะโนประชากรและเคหะ พ.ศ.2553 พบว่า ประเทศไทยมีจำนวนประชากร 65.4 ล้านคน มีจำนวนครัวเรือน 20.3 ล้านครัวเรือน ซึ่งจำนวนประชากรของไทยมากเป็นอันดับ 4 ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ 
          สำหรับประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มีจำนวนประชากรมากที่สุดตามลำดับ ดังนี้

         1. อินโดนีเซียมี 240 ล้านคน 

         2. ฟิลิปปินส์ 92 ล้านคน

         3. เวียดนาม 88 ล้านคน 

          4. ไทย 65.4 ล้านคน 

          ทั้งนี้ในประเทศไทย ในจำนวน 65.4 ล้านคน มีเพศหญิง 33.3 ล้านคน เพศชาย 32.1 ล้านคน และมีสัญชาติไทย 62.1 ล้านคน ไม่มีสัญชาติไทย 3.3 ล้านคน นอกจากนี้ผลสำรวจยังชี้ให้เห็นว่า กรุงเทพฯ เป็นจังหวัดที่มีจำนวนประชากรมากที่สุด และมีความหนาแน่นของประชากรสูงสุด แต่กลับมีขนาดครัวเรือนเฉลี่ยเล็กที่สุดอยู่ที่ 2.9 คน

          สำหรับจังหวัดที่มีจำนวนประชากรมากสุดตามลำดับ
        
          1. กรุงเทพฯ 8.25 ล้านคน
        
          2. นครราชสีมา 2.52 ล้านคน
        
          3. สมุทรปราการ 1.83 ล้านคน
        
          4. อุบลราชธานี 1.74 ล้านคน
        
          5. ขอนแก่น1.74 ล้านคน
        
          6. เชียงใหม่ 1.71 ล้านคน
        
          7. ชลบุรี 1.55 ล้านคน
        
          8. สงขลา 1.48 ล้านคน
        
          9. นครศรีธรรมราช 1.45 ล้านคน
        
          10. นนทบุรี 1.33 ล้านคน

          ทั้งนี้ในประเทศไทย ในจำนวน 65.4 ล้านคน มีเพศหญิง 33.3 ล้านคน เพศชาย 32.1 ล้านคน และมีสัญชาติไทย 62.1 ล้านคน ไม่มีสัญชาติไทย 3.3 ล้านคน นอกจากนี้ผลสำรวจยังชี้ให้เห็นว่า กรุงเทพฯ เป็นจังหวัดที่มีจำนวนประชากรมากที่สุด และมีความหนาแน่นของประชากรสูงสุด แต่กลับมีขนาดครัวเรือนเฉลี่ยเล็กที่สุดอยู่ที่ 2.9 คน